ส่วนประกอบวัตถุดิบที่ต้องเตรียมกันมาดูเลย
1. ผักโขมแช่แข็ง : หาซื้อได้ง่ายตาม Makro มีแบบแช่แข็งด้วย ราคาจะอยู่ที่ ถุงละ 60-70 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม หรือท่านมีผักโขมสด ก็นำมาเด็ดเฉพาะใบหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำมาผัด หรือจะต้มทั้งใบก่อนแล้วมาน๊อคน้ำเย็น แล้วหั่นก็ได้ตามสะดวกครับ สูตรนี้ผมใช้ 400 กรัม(บีบน้ำออกให้แห้งนะครับ)
2. หอมหัวใหญ่ : ผมใช้ประมาณ 1 หัวขนาดกลางๆ ซอยเป็นชิ้นเล็กๆ
3. ครีมสำหรับปรุงอาหาร มีขายที่ Makro ผมใช้ 1 ถ้วยตวง นมรสจืด : อันนี้เอายี่ห้ออะไรก็ได้ อีก 1 ถ้วยตวง
4. แป้งสาลีเอนกประสงค์ : ใช้ไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะ
5. เนื่องจากหลานสาวผมเป็นอิสลามผมเลยเปลี่ยนจาก แฮม หรือเบค่อน เป็น กุ้ง 4 – 5 ตัว หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ลวกน้ำ แล้วก็ปลาหมึก ใช้ 2 ตัว ลวกน้ำเช่นกัน
6. เกลือ : ผมใช้ดอกเกลือในการปรุงรสครั้งนี้
7. พริกไทยดำ ผมนำพริกไทยดำมาบดหยาบ ในการปรุงรสครับ
8. ชีส : มีหลายแบบ แต่ในที่นี้จะแนะนำ 3 แบบครับผม
a. เชดด้า : มีเอกลัษณ์ที่รสชาติเค็มอร่อย ตอนนี้มีหลายแบบ มีแบบรมควันด้วย
b. มอสซาเรลล่าชีส : มีเอกลัษณ์ที่ความยืดเมื่อโดนความร้อน แต่รสชาติจะอ่อนกว่าเช้ดด้า เหมาะแก่การเอามาทำหน้าผักโขมอบชีส หรือพิซ่า
c. พาเมซานชีส : มีเอกลัษณ์ที่กลิ่น
9. เนยสดชนิดจืดหรือเค็ม มีอะไรก็เอาไอ้นั่นแหละไม่เรื่องมากครับ
สรุปคือผมใช้แบบ Mix มีขายที่ โลตัสครับ ง่ายดี ผสมมาแล้ว แค่โรยๆๆ
วิธีทำ
หลังจากเตรียมวัตถุดิบแล้ว ตั้งกระทะ ใส่เนยลงไป พอเนยละลาย ใส่หอมใหญ่ผัดจนใส จากนั้นใส่แป้งสาลีลงไปผัดให้เนียนและสุก สังเกตจะไม่เป็นเม็ดๆ ใส่เนื้อสัตว์ลงไป จากนั้นใส่นมลงไป จะเห็นได้ว่าน้ำเป็นครีมข้นขึ้นผมไม่พอใจใส่ครีมลงไปอีก พอเนื้อสัตว์เข้ากันแล้วใส่ผักโขมลงไป ปรุงรสด้วยพริกไทย เกลือ ชิมรสให้พอใจ จำไว้ว่า ผักโขมเราต้องไม่แฉะหรือแห้งเกินไปนะครับ ผมไม่ชอบแห้งๆเท่าไร พอทุกอย่างเข้ากันดี ผมซัด ชีส Mix ไปหนึ่งกำมือผัดให้เข้ากันเวลาหม่ำมันจะยืดดดดดดด จากนั้นตักใส่ภาชนะ ที่จะใช้อบ ไม่ต้องล้นเราต้องโรยชีสอีก ลืมบอกไปว่า ตอนเราจะผัด เปิดเตาอบรอไว้เลย นะครับ ไฟ 200 C ไฟบนอย่างเดียว พอโรยชีสเสร็จก็นำเข้าอบ ประมาณ 15-20 นาที หรือจนกว่าหน้าจะเหลืองทองสวยงาม ทานร้อนๆจะอร่อยมากครับ เห็นเป่าไม่ยากเลย ทำเลยผมว่าเด็กๆที่บ้านคงชอบเมนูนี้ จริงๆอยากจะใส่อะไรเพิ่มเช่น หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ หรือจะหอยเซล ก็ไม่ผิด อร่อยด้วยผมว่าอร่อยกว่า ใส่แฮมอีกแหละครับ ลองทำดูนะ
ขอบคุณที่มา: วิโรจน์ สระบัว ทาง facebook.